วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บทที่ ๒ : ความรู้เบื้อต้นเกี่ยวกับทักษะชีวิต
                              
                สาระการเรียนรู้ (Concept Objective)
                                ๑.   ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับทักษะชีวิต
                               ๒.  ความรู้กับสมรรถนะแห่งตนเอง
                               ๓.  การกำกับตนเอง
                                ๔.  วิธีการกำกับตนเอง
                                ๕.  ประโยชน์ของการกำกับตนเอง
                                ๖.  สรุปเนื้อหา
                                ๗.  คำถามท้ายบท

                ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (Learning Objective)
๑.      อธิบายโครงสร้างความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับทักษะชีวิต  ความจำเป็นของการเรียนรู้ทักษะชีวิต ความรู้กับสมรรถนะแห่งตนเอง  และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
๒.    อธิบายการกำกับตนเอง  ความจำเป็นของการกำกับตนเอง  และสามารถ
นำทักษะนั้น ๆ ไปปรับใช้กับหน้าที่การงานตามแบบสัมมาชีพได้
๓.     สร้างความเข้าใจวิธีการกำกับตนเอง ประโยชน์ของการกำกับตนเอง เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตได้อย่างถูกต้อง


****************


.   ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับทักษะชีวิต
                ชีวิต หมายถึง ความเป็นอยู่ การดำรงอยู่ ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ ที่มีความรู้สึกนึกคิด และมนุษย์ทุกคนย่อมมีชีวิตจิตใจ มีอารมณ์และมีความคิดอ่าน ต้องมีการต่อสู้ดิ้นรนต่าง ๆ นานา  ตั้งแต่เกิดจนตาย ชีวิตจริงจึงไม่ใช่ของเล่น จงอย่าเล่นกับชีวิตจริง และชีวิตจริงที่ดีนั้นควรมีทักษะชีวิตประกอบที่จำเป็นอย่างน้อย ดังนี้
                ๑.๑  ความรู้ (Knowledge) หมายถึง ข้อมูลที่มีอยู่ในตัวตนหรืออยู่ในสมอง  ซึ่งการฝึกฝนอบรมที่ดีก็คือ การทำให้ข้อมูลเข้าไปอยู่ในสมองของผู้รับการฝึกหัดให้มากที่สุดจึงจะทำให้ผู้รับการฝึกฝนเกิดการเรียนรู้ได้มากที่สุด และความรู้ในสมองของมนุษย์เรานั้นจะมีอยู่  ๒  ลักษณะ ได้แก่
                ๑.๑.๑. ความจำ (Remembering) หมายถึง การเรียนรู้บางอย่างเพียงแต่ให้ผู้รับฝึกจำได้ก็พอ เช่น สามารถจำได้ว่า ไขควงปากแบน และไขควงปากแฉก มีลักษณะเป็นอย่างไร เป็นต้น  ลักษณะของการจำก็คือ การให้ผู้รับการฝึกสามารถบอกได้ ท่องจำได้นั่นเอง
                ๑.๑.๒. ความเข้าใจ (Understanding) หมายถึง การที่ผู้รับการฝึกสามารถอธิบายได้ เช่น ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือชนิดต่าง ๆ ให้เหมาะกับงาน เป็นต้น และความเข้าใจนั้นก็มีผลมาจากด้านสติปัญญา ด้านความฉลาด หรือเรียกว่า ด้านพุทธิพิสัย เช่น รู้  เข้าใจ  นำไปประยุกต์ใช้  วิเคราะห์  สังเคราะห์  ประเมินผล

                การนำความรู้ไปใช้ สามารถแยกได้เป็น   ๓ ระดับ  คือ
                ๑. การนำความรู้ไปใช้ในระดับของการจำ (Recall Knowledge) เช่น ท่องจำสูตรหลักการคูณ  และการหารได้  เป็นต้น
                ๒. การนำความรู้ไปใช้ในขั้นประยุกต์ (Applied Knowledge)  เช่น  การที่สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใด  เมื่อ ๒ x ๓  ทำไมจึงมีค่าเท่ากับ  ๖  เป็นต้น
                ๓. การนำความรู้ไปใช้ในระดับการส่งถ่ายทอดความรู้ (Transfer Knowledge)  เช่น ผู้รับการฝึก เรียนรู้สูตรการคูณเพียงแค่แม่บทที่ ๑๒  แต่ผู้ที่รับการฝึกสามารถตอบได้ว่า  ๑๓ x = ๓๙ เป็นต้น  การนำความรู้ในระดับนี้ไปใช้จะรวมไปถึง การคิดแบบวิเคราะห์ (Analysis) การคิดแบบสังเคราะห์ (Synthesis) และการประเมินผล (Evaluation) ตามแนวของ Boom’s Taxonomy
๑.๒ ทักษะ (Skill) หมายถึง  ความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผู้ที่รับการฝึกฝนได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว รวดเร็วถูกต้อง แม่นยำ ชัดเจนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งบุคคลสามารถสร้างขึ้นได้จากการเรียนรู้ และเกิดเป็นความชำนาญในการปฏิบัติจนเป็นที่เชื่อถือและยอมรับ ซึ่งการที่จะพิจารณาว่าผู้รับการฝึกมีทักษะได้ดีหรือไม่นั้น  สามารถดูได้ด้วยตัวแปร  ๓  อย่าง  คือ เวลาที่ใช้ปฏิบัติ   การสังเกตขณะปฏิบัติงาน  และผลลัพธ์ของงานนั้น ๆ
อนึ่ง เมื่อนำทั้งความรู้และทักษะมารวมกันเพื่อวิเคราะห์งานย่อย (Task Analysis) จะทำให้เราได้ทราบขั้นตอนในการปฏิบัติงานย่อยออกมา ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์งานย่อยเพื่อหา  ความรู้ (Knowledge)  และ ทักษะ (Skill)  ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการฝึกตามความสามารถในงานนั้น ๆ เป็นให้ได้ผลอย่างดียิ่งขึ้น คือ งานสะอาด เรียบร้อย เสร็จตรงตามเวลา และผู้นั้นควรมีเจตคติ (Attitude) ที่ดีกับงาน (job) คือ ตำแหน่งงานที่ต้องปฏิบัติเป็นภารกิจตามที่กำหนดไว้อย่างเฉพาะเจาะจง  เหมาะสมกับหน้าที่ (Duty)  คือ กลุ่มภารกิจที่เกี่ยวข้อง และนำไปสู่การผลิต  การบริการ ตามขั้นตอนของการทำงาน (Step) คือ ส่วนประกอบย่อย ๆ ของภารกิจที่ราบรื่นต่อไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น