วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บทที่ ๑ : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตนเอง

บทที่ ๑ : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตนเอง










  สาระการเรียนรู้ (Concept Objective)
                                .   ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตนเอง    
                                .  ความจำเป็นของการเรียนรู้
                                .  พัฒนาการของมนุษย์
                                .  ธรรมชาติของมนุษย์ที่ทำให้ต้องมีการศึกษา
๕.  พรสวรรค์กับพรแสวง
๖.  สรุปเนื้อหา
๗.  คำถามท้ายบท
                ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (Learning Objective)
๑.      อธิบายโครงสร้างความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตนเอง  ความจำเป็นของการเรียนรู้ 
และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
๒.    อธิบายพัฒนาการของมนุษย์  ความจำเป็นของการพัฒนามนุษย์  และสามารถ
นำไปปรับใช้กับหน้าที่การงานตามแบบสัมมาชีพได้
๓.     สร้างความเข้าใจระหว่างพรแสวงกับพรสวรรค์ ประโยชน์ของพรแสวงกับ
       พรสวรรค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ตามหลัก สุ จิ ปุ ลิ ได้อย่างถูกต้อง

***************
๑.  ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตนเอง
                ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตนเอง  หมายถึง การค้นหาทักษะต่าง ๆ ของตนเอง เพราะทักษะหรือความถนัดถนี่  หมายถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราเองทำได้หรือมีความถนัด  และทักษะที่กล่าวถึงนี้ อาจหมายถึง สิ่งที่ตนเองมีมาตามธรรมชาติ เช่น บางคนถนัดในการเขียนรูป  บางคนถนัดในการแกะสลัก  บางคนถนัดในการทำครัว เป็นต้น ทักษะบางชนิดก็เป็นสิ่งที่ได้มาจากการเรียนรู้ฝึกฝนจนเกิดเป็นความเชี่ยวชาญและชำนาญ เช่น การพิมพ์ดีด  การขับรถ การเล่นกีฬา เป็นต้น
                เมื่อเรารู้ตนเอง  ได้ค้นหาทักษะตนเองและรู้ว่าตนเองมีทักษะด้านไหน กลุ่มใดเป็นพิเศษแล้ว  เราก็จะรู้ได้ว่า  งานทุกชนิดต้องการคนที่มีทักษะต่างกัน  ถ้าเราจะหางาน เราก็จะต้องหางานที่ตรงกับทักษะที่ตนมีอยู่ก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น  หรืองานบางชนิดต้องการทักษะที่ตนเองมีน้อย เราก็จะได้ไปเพิ่มเติมทักษะหรือฝึกฝนให้เกิดความชำนาญก่อนการตัดสินใจเข้าสู่งานอาชีพ
                เมื่อเราเองลงมือทำกิจกรรมใด ๆ  เราจะสังเกตเห็นว่า ทักษะที่ให้ไว้มีอยู่หลายชนิด  บางชนิดเราเองก็มี  และเราก็อาจจะไม่คิดว่ามันเป็นทักษะ  แต่จริง ๆ แล้ว มันก็คือทักษะส่วนหนึ่ง และเมื่อเราได้รู้ทักษะที่สำคัญของเรา เราก็จะได้ทำงานตรงกับทักษะที่เรามี  และจะทำให้เราทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น
                การเรียนรู้และวิเคราะห์ให้รู้จักกับตนเองเป็นโจทย์ที่ว่า  เราจะเป็นบัณฑิตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น ควรทำความรู้จักกับตนเองก่อนว่า จะมีบุคลิกลักษณะอย่างไร คนอย่างไรที่จะเรียกว่าเป็น ”บัณฑิต” คนอย่างไรที่จะเรียกว่า “มนุษย์ที่สมบูรณ์” จากคำถามทั้งสองนั้น เราจักต้องศึกษาจากประมวลบรรดาประสบการณ์ หรือจากสรรพวิชาใด ๆ อย่างไรบ้าง ที่สร้างความมั่นใจว่า จักนำพาการเรียนรู้เกี่ยวกับคนเอง ให้ก้าวเข้าสู่กับความพร้อมและความก้าวหน้า ความเจริญเติบโต ที่ปราชญ์ทั้งหลายขนานนามว่า ผู้ที่ตื่นตระหนักถึงความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตนเอง จักเป็นลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ ควรมีลักษณะแห่งการรู้จักตนเอง ดังนี้
๑. การเป็นบัณฑิต ต้องมีลักษณะเหมือนคนชี้ขุมทรัพย์ ชี้นำคนอื่นได้ ว่าขณะนี้บกพร่องตรงไหน จะแก้ไขอย่างไร ส่วนดีตรงไหนจะเสริมอย่างไร อันตรายต่าง ๆ อยู่ที่ไหน ดังนี้เป็นต้น
                ๒. การเป็นบัณฑิต จะต้องสามารถชี้ข้อบกพร่องในการทำงาน และในตัวผู้อื่นได้ แต่ต้องกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
                ๓. การเป็นบัณฑิต จะต้องรู้จักข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง
                ๔. การเป็นบัณฑิต จะต้องเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่อง
                ๕. การเป็นบัณฑิต จะต้องมีความยืดหยุ่นในตัวเอง
                ๖. การเป็นบัณฑิต ย่อมไม่หวั่นไหว เมื่อถูกตำหนิติเตียน หรือสรรเสริญ
                ๗. การเป็นบัณฑิต จะต้องสามารถวางตัวเฉยโดยไม่มีปฏิกิริยาต่อทุกข์หรือสุข
                การเรียนรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตนเอง  เป็นการเตรียมพร้อมกับข้อคิดในเรื่องของโลกทัศน์ว่า ในอนาคตสังคมจะเป็นอย่างไร เรื่องโลกาภิวัตน์ เป็นข้อมูลที่ประกอบด้วย เรื่องภาษาต่างประเทศที่เราจักต้องเรียนรู้และพัฒนาให้มากยิ่ง ๆ ขี้นไป  เพราะว่าต่อแต่นี้โลกเกี่ยวข้องกันมากขึ้น การเรียนรู้เกี่ยวกับตนเองที่จะเป็นบัณฑิต หรือปราชญ์เมธีวิญญูชนในอนาคต ควรเปรียบเทียบข้อมูล ๖ ประการนี้ ดังนี้
๑.      เป็นผู้มีความรู้ความสามารถใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร
๒.    มีสุนทรียารมณ์ เป็นคนมีอารมณ์ประณีต ละเอียดอ่อน ไม่หยาบโลน ตัวอย่าง เช่น แต่งตัวดี ไม่ทิ้งก้อนบุหรี่ลงพื้นและเอาเท้าขยี้
๓.     เป็นผู้มีโลกทัศน์กว้างไกล
๔.     เป็นผู้มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ
๕.     เป็นผู้มีสมรรถภาพและสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ สามารถบำรุงรักษาสุขภาพให้ดี
๖.      ใฝ่รู้ความจริงและคิดอย่างมีเหตุผล โดยแสดงด้วยพฤติกรรม ๘ ประการ ดังนี้
-๑. สามารถตั้งคำถามและหาความจริงด้วยตนเองได้
-๒. สามารถคิดและเชื่อมโยงสิ่งที่คิดได้ด้วยเหตุผล
-๓. สามารถวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ได้
-๔. สามารถแก้ปัญหาด้วยการแสวงหาทางเลือก และการตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
-๕. เรียนรู้อยู่เสมอและพร้อมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
-๖. เป็นคนมีคุณธรรม จริยธรรม รู้จักตัวเอง เข้าใจตนเองและผู้อื่น
-๗. มีวินัยในตัวเอง รับผิดชอบและซื่อสัตย์
-๘. มีอุดมการณ์ที่จะพัฒนาสังคม และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

.  ความจำเป็นของการเรียนรู้
                การเรียนรู้ศาสตร์หรือวิชาในแขนงใด ๆ ก็ตาม คือการย่นระยะทางแห่งการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เพราะถ้าหากไม่ได้เรียนรู้หรือศึกษาก็อาจจะต้องเสียเวลาในการแก้ไขปัญหาชีวิตอยู่ร่ำไป ซึ่งในช่วงชีวิตนี้ อาจจะต้องมีอันเป็นไปหรือล้มหายตายจากไปเสียก่อน ก่อนที่จะแก้ไขปัญหาชีวิตได้สำเร็จ ถ้าชีวินั้น ๆ ไม่ได้รับการศึกษาหรือมีทักษะที่ดีพอ
                เนื่องจากทักษะมีอยู่มากมายหลายแบบ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการเรียนรู้เพื่อให้ตรงกับความถนัด และตรงกับงานอาชีพที่ต้องรับผิดชอบตามที่ได้รับมอบหมาย เพราะถ้าใครมีทักษะที่ดีในงานใด ๆ ที่ได้รับมอบหมายและรับผิดชอบ งานนั้น ๆ ก็จะออกมาดีเสมอ และจะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติมีความก้าวหน้า มีขวัญและกำลังใจที่ดี ที่สำคัญคือมีความสุข จึงเป็นที่มาของคำว่า “Put right man on the right job”  คือ การเลือกคนให้เหมาะกับงาน หรือตรงกับทักษะที่ผู้นั้นมีอยู่และมีความถนัดชำนาญ หรือเชี่ยวชาญ เช่น
                ๒.๑ ทักษะที่เกี่ยวกับวัตถุ  เป็นต้นว่า
                                -เรียนรู้การประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ด้วยมือ เช่น ชิ้นส่วนของวิทยุ
                                -เรียนรู้การสร้างเป็นรูปร่าง เช่น งานช่างไม้  งานถักทอ
                                -เรียนรู้การใช้เครื่องมือ เช่น งานป้อนบัตร  เจาะผนัง  งานขุด
                                -เรียนรู้การใช้เครื่องจักรกล เช่น จักรเย็บผ้า
                                -เรียนรู้การใช้เครื่องจักรกลเคลื่อนที่  เช่น รถบรรทุก  รถยนต์
                                -เรียนรู้การใช้เครื่องมือประกอบความแม่นยำ เช่น ประกอบชิ้นส่วนเข้าเป็นรูปร่าง
                                -เรียนรู้การซ่อมแซมแก้ไขทำให้ใช้งานได้ เช่น ซ่อมเครื่องยนต์
                ๒.๒ ทักษะการใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นต้นว่า
                                -ทักษะใช้กล้ามเนื้อสัมพันธ์ เช่น ยิมนาสติก
                                -ทักษะความแข็งแรงคล่องแคล่วของร่างกาย เช่น ยก แบก หาม
                                -ทักษะประกอบกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การเล่นกีฬาประเภทต่าง ๆ
                                -ทักษะการทำงานด้านเกษตรกรรม เช่น การปลูกผัก  ผลไม้
                                -ทักษะการทำงานด้านปศุสัตว์ เช่น ทำฟาร์ม เลี้ยงสัตว์
                                -ทักษะที่มีความสามารถในการปลูกไม้ประดับ จัดสวน
๒.๓ ทักษะการใช้ถ้อยคำหรือภาษา  เป็นต้นว่า
                -ทักษะการอ่าน เช่น อ่านหนังสือด้วยความเข้าใจ
                -ทักษะเลียนแบบการเขียน เช่น นำต้นฉบับเดิมมาแต่งเติมเป็นเรื่องราวใหม่
                -ทักษะการเขียนโครงการ  เขียนรายงาน
                -ทักษะการโต้ตอบจดหมาย  เขียนบทความ
                -ทักษะการพูดหรือปราศรัยแคล่วคล่องด้วยความเชื่อมั่น
                -ทักษะการสอนหรือฝึกอบรม ทำงานกลุ่มหรือพูดหน้าชั้นเรียนได้สนุกสนาน
                -ทักษะงานตรวจภาษา ขัดเกลา  แก้ไขสำนวน
                -ทักษะการจดจำถ้อยคำได้แม่นยำ เช่น ชื่อคน
                -ทักษะการแปลหรือปรับภาษาทางวิชาการมาเป็นภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย
                -ทักษะการมีความสามารถในการสัมภาษณ์

 
๒.๔  ทักษะการใช้ตัวเลข  เป็นต้นว่า
                -ทักษะนับรายการสิ่งของหรือสินค้าต่าง ๆ
                -ทักษะนับจำนวนตัวเลข
                -ทักษะคิดคำนวณตัวเลขได้รวดเร็ว
                -ทักษะคิดบัญชีทำงบประมาณ
                -ทักษะจัดการและควบคุมการเงิน / กระแสรายวัน
                -ทักษะความจำเกี่ยวกับตัวเลข
                -ทักษะการวิเคราะห์รายรับ-รายจ่าย
                -ทักษะการตรวจสอบ วิเคราะห์ นำเสนอรายงานเกี่ยวกับเลข
๒.๕ ทักษะการใช้ญาณพิเศษหรือลางสังหรณ์ใจที่เกิดขึ้น เป็นต้นว่า
                -การกะประมาณการล่วงหน้าได้
                -มองคนและสถานการณ์ออกถูกต้องและรวดเร็ว
                -หยั่งรู้เหตุการณ์หรือสิ่งต่าง ๆ ได้ทะลุปรุโปร่ง
                -ตัดสินใจทำตามที่ตนรู้สึก เช่น รู้ว่าควรวางใจใครหรือไม่
                -สามารถมองภาพสามมิติ เช่น ภาพวาด หุ่นจำลอง พิมพ์เขียว
๒.๖ ทักษะการวิเคราะห์ใช้เหตุและผล  เป็นต้นว่า
                -วิจัย/รวบรวมข้อมูล เช่น ค้นพบทางลัดไปสู่เป้าหมาย
                -วิเคราะห์ จำแนกแยกแยะ เช่น รู้ส่วนประกอบของวัตถุ/อาหาร
                -จัดเข้าหมวดหมู่แยกประเภท เช่น อายุ เพศ
                -แก้ปัญหาเป็น  รู้ว่าควรใช้วิธีการใดในการแก้ปัญหาแต่ละชนิด
                -แยกสิ่งสำคัญออกจากสิ่งไม่จำเป็น เช่น ดึงประเด็นที่สำคัญออกมาได้ถูกต้อง
                -วินิจฉัยถึงเหตุและผลที่เกิดขึ้นได้
                -เปรียบเทียบเห็นความคล้ายคลึงหรือแตกต่างกัน
                -ทดสอบ แยกแยะ กลั่นกรอง
๒.๗ ทักการใช้ความคิดสร้างสรรค์  เป็นต้นว่า
                -มีมโนภาพจินตนาการ เช่น คิดทำสิ่งใหม่ ๆ
                -ประดิษฐ์สร้างสรรค์ขึ้นเอง พัฒนาให้ดีกว่าเก่า
                -คิดแก้ปัญหาเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้
                -ปรับเปลี่ยนแปลง แก้ไขให้ใช้การได้
                -ผสมผสานความคิดใหม่ ๆ เข้าด้วยกัน
                -มองทะลุถึงแก่น เข้าใจแก้ปัญหาที่แท้จริง
                -ปรับทฤษฎีหรือความคิดจนสามารถนำไปปฏิบัติได้
๒.๘ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับบุคคลและการให้ความช่วยเหลือ เป็นต้นว่า
                -มีความสุขในการได้ช่วยเหลือผู้อื่น
                -รับฟังการสื่อสารจากผู้อื่นด้วยความเข้าใจ

 
                -สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้โดยง่าย
                -ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่นและเข้าใจผู้อื่น
                -ปลอบใจ ให้กำลังใจ ให้ขวัญแก่ผู้อื่น
                -จูงใจ ชักนำผู้อื่น
                -กระตุ้นโน้มน้าวให้ผู้อื่นมีความกล้าหาญ
                -ทำให้ผู้อื่นรู้สึกมีคุณค่า
                -ให้คำปรึกษา แนะแนวผู้อื่น
๒.๙ ทักษะทางศิลปะ  เป็นต้นว่า
                -แต่งบทเพลง
                -ร้องเพลงและเล่นดนตรี
                -ดัดแปลงสิ่งของวัตถุให้สวยงาม
                -สร้างสรรค์งานสัญลักษณ์หรือภาพพจน์ เช่น ออกแบบเครื่องประดับเพชรพลอย
                -สามารถใช้สีสันงาน เช่น วาดภาพ
                -แสดงความรู้สึก ความคิดออกทางสีหน้า ท่าทาง
                -ใช้ถ้อยคำได้สละสลวย เช่น เขียนบทกวี
๒.๑๐ ทักษะความเป็นผู้นำ  เป็นต้นว่า
                -ริเริ่มสร้างงานใหม่/ความคิดใหม่ ๆ /โครงการใหม่ ๆ
                -เริ่มต้นหรือสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น
                -จัดการ รวบรวม สร้างทีมงาน
                -ประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ
                -สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
                -กล้าตัดสินใจ
                -เป็นตัวแทนในการเสนอผลงานกลุ่ม
                -ชักจูง หว่านล้อม ต่อรอง เสนอความคิด
๒.๑๑ ทักษะการใช้สัมผัสทั้งห้า  เป็นต้นว่า
                -ช่างสังเกต มีความละเอียดในการตรวจสอบ
                -วินิจฉัย ตัดสินใจ ว่าจะทำอะไรก่อนหรือหลังในสถานการณ์หนึ่ง ๆ   

.  พัฒนาการของมนุษย์
                มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นสัตว์สังคม เป็นสัตว์ที่มีพัฒนาอย่างต่อเนื่องและที่ฉลาดที่สุดบนโลกใบนี้ การพัฒนาการและแสวงหาความรู้ใด ๆ ของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้ต้องส่งเสริมทักษะการสังเกต การจดบันทึก การนำเสนอ การฟัง การถาม การตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม การค้นหาคำตอบจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ การทำวิจัยสร้างความรู้ การเชื่อมโยงบูรณาการ การเขียนเรียบเรียง ที่ต้องศึกษาหาความรู้ โดยมีการกำหนดประเด็นค้นคว้า การคาดคะเน การกำหนดวิธีค้นคว้าดำเนินการการวิเคราะห์ผลการค้นคว้า และสรุปผลการค้นคว้า ล้วนแล้วแต่เป็นพัฒนาการทางทักษะของมนุษย์ทั้งสิ้น
การที่มีคำกล่าวที่ว่า มนุษย์ทุกคนมีพัฒนาการและมีความสามารถแตกต่างกัน และ มนุษย์แต่ละคนจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นั้น หมายถึง การที่คนเราแม้จะอยู่ในวัยเดียวกัน สภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกัน แต่อาจจะมีพฤติกรรมที่ต่างกันได้ อันเนื่องมาจากการมีเผ่าพันธุ์และเชื้อสายที่ต่างกันนั่นเอง หรือแม้แต่พี่น้องท้อง เดียวกันจากพ่อแม่คนเดียวกัน ซึ่งถือว่ามีเผ่าพันธุ์เดียวกัน อาจจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมือนกันเลย นั่นเป็น เพราะพี่น้องได้รับประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมและทักษะที่ต่างกัน และนอกจากนี้จะพบว่าในบุคคลเดียวกันจะมี การเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา กล่าวคือเมื่อมีการเจริญวัยเข้าสู่วัยต่าง ๆ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยผู้สูงอายุ จะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างไปอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ประโยคสองประโยคที่กล่าวไว้ข้าง ต้น จึงเป็นสิ่งที่ควรตระหนักและทำความเข้าใจ เพื่อเราจะได้เข้าใจพฤติกรรมและสาเหตุของพฤติกรรม ทั้งของตนเองและผู้อื่น และจะได้ไม่คาดหวังให้ใครจะต้องเหมือนใคร หรือให้ใครต่อใครมีความคงที่ใน พฤติกรรมอยู่ตลอดชีวิต
ในที่นี้ จึงเป็นการที่จะอธิบายถึงปัจจัยและสาเหตุที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกัน และมนุษย์มีการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามพัฒนาการ โดยจะกล่าวถึงอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมทีมี่ต่อ พฤติกรรมของมนุษย์ รวมทั้งทฤษฎีการพัฒนาการในวัยต่าง ๆ ของมนุษย์ในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้ผู้อื่นได้ เข้าใจ และนำแนวคิดทางทฤษฎีและผลงานวิจัยมาประมวลพิจารณา อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจใน พฤติกรรมของมนุษย์ที่มาจากเผ่าพันธุ์และสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน เข้าใจตนเองและเข้าใจบุคคลที่มี วัยเดียวกับตน และบุคคลที่ต่างวัยไปจากตน ทั้งนี้เพื่อการเตรียมพร้อมพัฒนา ปรับปรุง และควบคุม พฤติกรรมของตนเอง ให้เหมาะสมกับพัฒนาการ พร้อมกับเข้าใจและปรับตนได้
          ๓.๑  ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์
การศึกษาเรื่องพัฒนาการ เป็นการศึกษาถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงของอินทรีย์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยถ้าการเปลี่ยนแปลงนำความก้าวหน้ามาสู่อินทรีย์ ก็จะก่อให้เกิดผลดีทางด้านการปรับตัว แต่ในทางตรงข้ามถ้าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปในทางลบ ก็จะทำความไม่สบายใจมาสู่อินทรีย์ ซึ่งกระบวนการ เปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยเป็นกระบวนการที่ เกิดขึ้นกับบุคคลทุกคน
การเข้าใจในกระบวนการพัฒนาการของมนุษย์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นประโยชน์ในการเข้าใจถึงพัฒนาการของทั้งตนเองและบุคคลอื่น ทำให้เราเห็นว่า บุคคลแต่ละคนมีพัฒนาการที่ไม่เท่ากันเพราะมีความ แตกต่างกัน บางคนมีพัฒนาการในอัตราที่เร็วกว่าบางคน และแต่ละส่วนของร่างกายมนุษย์ก็จะมีอัตรา ของการพัฒนาที่ไม่เท่ากัน รวมทั้งอัตราของการพัฒนาการและเจริญเติบโตในแต่ละวัยจะไม่เท่ากันด้วย กล่าวคือในช่วงวัยทารก วัยเด็กเล็ก และระยะวัยรุ่นนั้น อัตราการพัฒนาการจะเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าใน ช่วงวัยอื่นๆ
       ๓.๒ ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย์
๑.      เพศ ปกติเพศหญิงจะเจริญเติบโตเร็วกว่าเพศชาย
๒.    ต่อมต่าง ๆ ภายในร่างกายที่ผลิตสารต่างๆ อาจทำงานมากหรือน้อยต่างกันไป
๓.     อาหาร การได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนทำให้เกิดการเจริญเติบโตช้า
๔.     อากาและแสงแดด ถ้ามีอากาดีและได้รับแสงแดดบ้างจะทำให้เราแข็งแรง เจริญเติบโตตาม ปกติ
๕.     การบาดเจ็บและโรคภัยที่เป็นมาแต่เดิมถ้าป่วยมาแต่เด็กก็จะทำให้การเจริญเติบโตช้า
๖.      การเรียนรู้ที่จะฝึกหัดหรือฝึกฝน โดยเฉพาะการเล่นกีฬาและการทำกิจกรรมต่าง ๆ จะทำให้พัฒนาการของกล้ามเนื้อดี และทำให้ร่างกายเจริญเติบโตเร็วขึ้น ปัจจัยเหล่านีจะได้กล่าวในราย ละเอียดต่อไป
       ๓.๓  องค์ประกอบที่มีผลต่อพัฒนาการของมนุษย์ คือ
๓.๓.๑. พันธุกรรม (Heredity) คือ ลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายและทางพฤติกรรมที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน การถ่ายทอดนี้ผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและแม่ ลักษณะต่างๆ จากพ่อและ แม่จะถ่ายทอดไปสู่ลูกโดยทางเซลล์สืบพันธุ์นี้ ซึ่งเรียกว่า โครโมโซม (Chromosome) สำหรับ มนุษย์จะมีโครโมโซม  ๒๓  คู่ หรือ  ๔๖  ตัว มีอยู่คู่หนึ่งที่ทำหน้าที่กำหนดเพศหญิงหรือเพศชาย อิทธิพลของพันธุกรรมที่มีต่อมนุษย์ คือ เป็นตัวกำหนดเพศ รูปร่าง ชนิดของโลหิต สีผม ผิว ตา และระดับสติปัญญาเป็นต้น นักจิตวิทยาหลายคน เช่น แอนนาตาซี (Anastasi) ได้กล่าวว่า พันธุกรรมมีอิทธิพลต่อการพัฒนาการของมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยีน (Gene) ที่แตกต่างจะเป็นตัวกำหนดให้แต่ละบุคคลมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่แล้วพันธุกรรม จะมีผลต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายมากที่สุด
๓.๓.๒. วุฒิภาวะ  (Maturation) เป็นกระบวนการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของบุคคล โดยไม่ต้องอาศัยการฝึกหัดหรือประสบการณ์ใด ๆ เช่น การยืน การเดิน การวิ่ง การเปล่งเสียง ซึ่งเป็นพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นไปตามปกติเมื่อถึงวัยที่สามารถจะกระทำได้
๓.๓.๓.  การเรียนรู้ (Learning) เป็นพัฒนาการที่เกิดจากประสบการณ์ และการฝึกหัด หรือความสามารถทางทักษะอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกหัดเป็นพื้นฐานสำคัญ ดังนั้น นักจิตวิทยาที่สนใจเรื่องการเรียนรู้ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องความพร้อม (Readiness) ว่าเป็นสิ่งสนับสนุนในเรื่องการเรียนรู้เป็นอย่างมาก จากการศึกษาเรื่อง"ความพร้อม"
นักจิตวิทยาได้บ่งแนวความคิดออกเป็น
 กลุ่ม คือ
(๑)  ความพร้อมเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (Natural Readiness Approach) กลุ่มนี้มีความเห็นว่า ความพร้อมของบุคคลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อถึงวัยหรือเมื่อถึงระยะเวลาที่ เหมาะสมที่จะทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดได้ ดังนั้น ในกลุ่มนี้จึงเห็นว่าการทำอะไรก็ตาม ไม่ควรจะเป็น "การเร่ง" เพราะการเร่งจะไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น ตรงกันข้าม อาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมาคือ ความท้อถอย และความเบื่อหน่าย เป็นต้น
(๒)  ความพร้อมเกิดจากการกระตุ้น (Guided Experience Approach) กลุ่มนี้มีความเห็นตรง ข้ามกับกลุ่มแรก คือ เห็นว่า ความพร้อมนั้นสามารถเร่งให้เกิดขึ้นได้ โดยการกระตุ้นการ แนะนำ การจัดประสบการณ์อันจะก่อให้เกิดเป็นความพร้อมได้โดยตรง โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในช่วงวัยเด็ก ซึ่งจะเป็นวัยที่มีช่วงวิกฤติ (Critical Period) ของการเรียนรู้และการปรับ ตัว เป็นอย่างมาก
๔. สิ่งแวดล้อม (Environment) ได้แก่ สิ่งที่อยู่รอบตัวบุคคลนั้น ๆ ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต นอกจากนั้นสิ่งแวดล้อมยังหมายรวมถึงระบบและโครงสร้างต่างๆ ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น เช่น ระบบ ครอบครัว ระบบสังคม ระบบวัฒนธรรม เป็นต้น

๔.  ธรรมชาติของมนุษย์ที่ทำให้ต้องมีการศึกษา
                การศึกษาคือ ประตูไขไปสู่โลกกว้าง ในทุกสาขาอาชีพ และการศึกษาก็มีหลายประเภท เช่น การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ เพื่อความเข้าใจง่าย ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ขอให้มองดูตั้งแต่มนุษย์คลอดจากครรภ์มารดา เกิดมามีชีวิตอยู่ในโลก เมื่อจะมีชีวิต ก็ต้องดำรงชีวิตให้อยู่รอด แต่การที่จะอยู่รอดด้วยดีนี้จะทำอย่างไร การที่จะอยู่รอดได้ดี ก็การที่จะต้องปฏิบัติต่อชีวิตและสิ่งรอบตัว ที่ชีวิตเข้าไปเกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง ถ้าเราปฏิบัติต่อสิ่งนั้น ๆ ได้ถูกต้อง ชีวิตของเราก็อยู่รอดปลอดโปร่ง แต่ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกต้อง ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตนั้น ก็จะเกิดความติดขัด คับข้อง หรือบีบคั้น ความบีบคั้น ติดขัด หรือคับข้องนี้ หลักพระพุทธศาสนา เรียกว่า “ทุกข์” ซึ่งก็คือปัญหาต่อการที่จะอยู่รอด หรือการที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยดีนั่นเอง
                เมื่อเป็นอย่างนี้ คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า ทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลาย ที่ต้องเกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง การที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องก็เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร การที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เพราะไม่รู้ว่าสิ่วนั้นคืออะไร เป็นอย่างไร ตลอดจนไม่รู้ว่า มันมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร เราจะทำกับมันอย่างไร แล้วจะเกิดผลอย่างไร เป็นต้น เรียกสั้น ๆ ว่า ก็คือไม่รู้ หรือเพราะมีความไม่รู้ นั่นเอง ทุกข์คือความไม่รู้ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต เพราะความไม่รู้
                เพราะฉะนั้น การที่จะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง ให้ผ่านลุล่วงไปได้นั้น  ก็ต้องมีความรู้ เช่น ต้องรู้ว่ามันคืออะไร เมื่อรู้แล้วก็ปฏิบัติต่อสิ่งนั้นได้ถูกต้อง ก็หมดปัญหา ทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้น  หรือถ้าเป็นปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ก็แก้ได้ ดับทุกข์ได้ แต่ในความเป็นจริง มนุษย์เกิดขึ้นมายังไม่ยังไม่มีความรู้ดังที่กล่าวมา มนุษย์เกิดขึ้นมายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  ไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ตนจะเข้าไปเกี่ยวข้อง  หรือแม้แต่ชีวิตของตนเองก็ไม่รู้จักเลย การอยู่รอดและการมีชีวิตอยู่ด้วยดีของมนุษย์ จึงต้องอาศัยการหาความรู้ แหล่งสำคัญเบื้องต้นของการที่จะได้มาซึ่งความรู้ก็คือ การได้รับการฝึกสอนมาจากมนุษย์คนอื่น ๆ เช่น พ่อแม่ ที่บอกให้รู้ว่าจะทำต่อสิ่งนั้น ๆ หรือในเรื่องนั้น ๆอย่างไร เมื่อรู้จักทำแล้วก็ปลอดโปร่งไปได้  แล้วก็จดจำไว้ทำต่อ ๆ ไป ซึ่งตรงนี้มนุษย์จะผิดกับสัตว์อื่น ๆ เพราะสัตว์อื่นทั้งหลายจะอยู่ด้วยสัญชาตญาณ ได้อาศัยสัญชาตญาณเป็นเครื่องช่วยอย่างมาก เช่น สัตว์หลายอย่างพอเกิดขึ้นมาก็เดินได้ ว่ายน้ำได้ หากินได้ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้  แต่สำหรับมนุษย์ เมื่อเกิดขึ้นมายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ถ้าถูกทอดทิ้งก็ไม่สามารถอยู่ได้ คือไม่รอด
                ในเมื่อมนุษย์ เกิดขึ้นมาแล้วต้องอยู่ให้รอดต่อไป แต่จะทำอย่างไรในเมื่อยังไม่มีความรู้ อะไรจะเป็นตัวนำพฤติกรรม ถ้ายังไม่มีความรู้มานำทาง พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า มนุษย์เรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียกว่า อายตนะ หรือ อินทรีย์ ที่ติดตัวมา สิ่งเหล่านี้แหละ จะเป็นตัวนำชีวิตมนุษย์ อายตนะเหล่านี้ เป็นทางรับรู้ประสบการณ์ หรือเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล แต่อินทรีย์ หรือ อายตนะนั้นไม่ได้ทำหน้าที่ที่ว่านี้อย่างเดียว  มันทำหน้าที่ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินความเป็นไปได้ในชีวิตของมนุษย์ที่สำคัญมาก ๒ อย่าง คือ
๑.  เป็นทางรับรู้ข้อมูล หรือเป็นทางรับความรู้ คือ รับรู้ประสบการณ์เข้ามาในลักษณะที่เป็นข้อมูล ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำให้เกิดปัญญา ที่จะรู้เข้าใจ และปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกต้อง ถ้ามนุษย์รู้จักประโยชน์ของอายตนะหรืออินทรีย์ในแง่นี้ ก็จะใช้มันในการ เรียนรู้ หรือเป็นเครื่องมือ หาความรู้
สำหรับมนุษย์ ที่มีการศึกษาหรือมีการพัฒนาอย่างถูกต้อง การใช้อายตนะหรืออินทรีย์ในแง่ของการเรียนรู้ หรือเป็นเครื่องมือหาความรู้นี้ ก็จะเป็นพฤติกรรมหลัก ในการดำเนินชีวิตต่อไป
๒. เป็นทางรับรู้ความรู้สึก หรือเป็นทางรับความรู้สึก กล่าวคือ พร้องกับการรับรู้อย่างแรกนั้น ก็จะมีความรู้สึกเกิดขึ้นด้วย คล้ายกับว่าสิ่งทั้งหลาย ก็จะเกิดความรู้สึกเกิดขึ้นด้วย คล้ายกับว่าสิ่งทั้งหลายเมื่อสัมพันธ์กับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราแล้ว มันมีคุณสมบัติที่ทำให้เรารู้สึกสบายหรือไม่สบาย หรือไม่ก็เฉย ๆ ทันทีความรู้สึกนี้ เรียกว่า เวทนา เมื่อเรารับรู้จึงไม่ใช่เพียงได้ข้อมูล หรือ ประสบการณ์เท่านั้น แต่จะมีความรู้สึกสบาย-ไม่สบาย เกิดขึ้นพร้อมกันด้วย เช่น เมื่อตารับรู้หรือเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ก็จะมีความรู้สึกสบายตา หรือไม่สบายตาเกิดขึ้นด้วย  เมื่อหูได้ยินเสียง ก็จะมีความรู้สึกสบายหูหรือไม่สบายหูเกิดขึ้นด้วย เป็นต้น ความรู้สึกสบายหรือเอร็ดอร่อยใด ๆ เรียกว่า สุขเวทนา ความรุ้สึกใด ๆ ไม่อร่อย เรียกว่า ทุกขเวทนา
การรับรู้ด้านที่เป็นความรู้สึกนี้ เป็นส่วนที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันจะมาเป็นตัวนำพฤติกรรม ในขณะที่คนยังไม่มีความรู้ หรือไม่มีปัญญา ไม่มีการศึกษา หรือการพัฒนาที่ถูกต้องในการใช้อายตนะหรืออินทรีย์ การรับรู้อย่างที่ ๒  จะมีอิทธิพลส่งผลกระทบต่อการรับรู้อย่างแรกในหลายรูปแบบด้วย เช่น พอรับรู้และเกิดความรู้สึกพร้อมทั้งปฏิกิริยา ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจแล้ว ความสนใจจะพุ่งมารวมอยู่ที่ความชอบใจและไม่ชอบใจ แล้วคิดปรุงแต่งต่อไปต่าง ๆ ทำให้การรับรู้ด้านที่ ๑ หยุดหรือขาดตอน ทำให้ไม่รับรู้ความรู้ที่เป็นข้อมูลนั้นต่อไปอีก จึงไม่ได้ความรู้เท่าที่ควรจะรู้ หรือบางทีก็ทำให้สนใจที่จะรับรู้ข้อมูลเฉพาะในแง่ที่สนองความชอบใจหรือไม่ชอบใจ จึงทำให้ได้ความรู้ที่เองเอียง หรือบิดเบือน หรือเฉพาะจุดเฉพาะแง่ ไม่ตรงตามความเป็นจริง และไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
เพราะฉะนั้น จึงสรุปให้เห็นชัดได้ว่า มนุษย์เมื่อมีการรับรู้ประสบการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะมีความรู้สึกหรือเวทนาเกิดขึ้นด้วย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ทำให้ต้องมีการศึกษา เป็นแนวทางในการพัฒนามนุษย์  คือทันทีที่มนุษย์รู้จักคิด เขาก็เริ่มมีการศึกษา และเมื่อนั้นปัญญาก็เกิดขึ้น ตัวแกนที่สำคัญของการพัฒนาก็คือปัญญา เพราะทำให้รู้จักสิ่งทั้งหลาย และรู้ที่จะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างไร พร้อมกับที่ปัญญาเกิดขึ้นนั้น ก็มีการปรับตัวเกิดขึ้นทั้งองคาพยพ ทำให้เกิดการศึกษา รวมทั้งเกิดการพัฒนา ทั้งปัญญา พฤติกรรม และเป็นการพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กัน
               
ลูกคนจนค้นแค้นแสนจะคิด
                อาจเพลงฤทธิ์นำเหตุเป็นเศรษฐี
                ลูกคนโง่อาจโผล่เป็นเมธี
                เหตุฉะนี้อย่างละทิ้งพยาม.
                “ความเกียจคร้าน คือโรงงานผลิตคนโง่
                นกไม่มีขน  คนไม่มีความรู้  ยากที่จะขึ้นสู่ที่สูงได้”

.  พรสวรรค์กับพรแสวง
                พรสวรรค์ คือ ของวิเศษประจำตัว อาจจะเป็นสรีระของร่างกายที่ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ  หรือมีความสามารถที่เหนือกว่าคนอื่นจะได้มาจากสวรรค์ หรือ พ่อ แม่ ก็แล้วแต่จะคิด มันซ่อนเร้นอยู่ในตัวของคุณทุก ๆ คน แต่สำคัญตรงที่ว่า ใครจะหามันพบและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ก่อนกัน เท่านั้นเอง
                พรสวรรค์  เป็นตัวแปรตัวหนึ่งที่ทำให้ความสำเร็จของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป  บางคนอาจะมีพรสวรรค์บางอย่างที่เอื้อต่องานนั้น ๆ  งานที่ทำจึงสำเร็จลงได้อย่างง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ในขณะที่บางคนไม่มี พยายามหาแทบตาย ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ หรือถ้าสำเร็จก็สักแต่ว่า ก็ออกมาแบบไม่ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นเราจึงต้องแสวงหา พรสวรรค์ ของตัวเองให้เจอ จะได้รู้แนวทางว่าจะเดินไปทางไหน ไปในทางที่เหมาะสมกับเรา ไปในทางที่เราเป็นผู้ชนะ และไปในทางที่เราจะร่ำรวย มีความสุข หรือ มีชื่อเสียงโด่งดัง
                เพราะฉะนั้น ในการดำเนินชีวิต เพื่อคำว่าชนะ และสำเร็จนั้น คงจะรอแต่พรสวรรค์อย่างเดียวไม่ได้แน่ ก็ต้องมีพรแสวง คือ การดิ้นรนแสวงหาหนทาง หรือช่องทางที่จะทำมาหากินกันอย่างเต็มที่ด้วยวิชาความรู้และกำลังแห่งสติปัญญาของตนเอง มีหลายคนที่เห็นใครทำอะไรแล้วสำเร็จร่ำรวย ก็ทำตามเขา ลอกเลียนแบบเขาแบบเห็น ๆ เพราะอยากรวยอยากดังเหมือนอย่างเขาเหล่านั้นบ้าง  เสมือนว่าง่าย ๆ แบบนี้ไม่เห็นจะมีอะไรยาก  แต่สุดท้าย มีบางคนเท่านั้นที่ทำตามแล้วประสบความสำเร็จ ที่เหลือกับล้มเหลว  จึงไม่เป็นท่า มึนงง สงสัยค้างคาใจมาตลอด เพราะไม่ใช่เส้นทางแห่งพรสวรรค์ของตนเอง
                พรสวรรค์ (Gift)  คือ สิ่งที่เป็นความสามารถพิเศษหรือคุณสมบัติเด่น ของบุคคลที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด โดยที่บางครั้งราอาจไม่รู้ตัว มันเป็นคล้าย ๆสัญชาตญาณที่อยู่ลึก ๆ ในตัวเรา เช่น เกิดมารูปร่างหน้าตาดี เสียงดี เสียงเพราะ เขียนหนังสือสวย วาดรูปเก่ง พูดเก่ง เต้นเก่ง ขีดเขียนอะไรก็เป็นศิลปะที่รวดเร็วกว่าคนอื่น ๆ อันเนื่องมาจากพันธุกรรม หรือบุญญาวาสนาหนุนส่งก็ตาม แต่ถ้าจะเป็นความวัฒนาถาวรก็ต้องเป็นเรื่องของ พรแสวงมากกว่า  และพรสวรรค์ ยังหมายถึงการได้รับแรงบันดาลใจบ่อย ๆ ในการที่จะฝึกฝนทำสิ่งนั้นจนชำนาญเป็นได้รวดเร็วกว่าที่คนอื่นพยายาม แต่ไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่ได้รับการปลูกฝังมาให้ทำในสิ่งนั้น
พรแสวง หมายถึง  สิ่งที่เราต้องการแล้วเราต้องออกเสาะแสวงหาด้วยความอุตสาหพยายาม และเรียนรู้มันเพื่อทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้  ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นไม่ใช่ความถนัดและความสามารถของเราจริง ๆ แต่มาจากฝึกหัดเรียนรู้ จดจำ และนำไปถ่ายทอดเป็นทักษะต่าง ๆ ได้ ในการะประกอบอาชีพ บุคคลที่มีพรสวรรค์นั้น ถ้าบวกเข้ากับพรแสวงที่ถูกทางแล้ว ย่อมจะทำให้ความสามารถที่มีมาแต่กำเนิดได้รับการพัฒนาไปจนเต็มขีดความสามารถ โดดเด่นปรากฏชัดขึ้นมาในสังคมนั้น ๆ เป็นที่กล่าวขวัญชื่นชม  เป็นเกียรติยศชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล  สังคม  และอาจจะไปถึงระดับชาติหรือระดับนานาชาติ
ดังนั้น ไม่ว่าพรสวรรค์หรือพรแสวง ทั้งสองอย่างก็นับว่าเป็นพรที่ยิ่งใหญ่ ที่ผู้คนมากมาย ต่างมุ่งหมายไขว่คว้าหาความหมาย และทิศทางในชีวิต ที่ทำให้รู้ชัดแจ้งขึ้นมาว่า ความสามารถและความสนใจของตนเองอยู่ที่ไหน ขอเพียงมีความสนใจ ตั้งใจ และดำเนินชีวิตไปด้วยความไม่ประมาท
                พระพุทธองค์ตรัสสอนถึงพรสวรรค์ว่า หมายถึง ความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงนั้น ที่จะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากตัวเราเองก่อนเป็นประการสำคัญ  สมดังพุทธภาษิตที่ว่า
อตฺตา หิ  อตฺตโน  นาโถ                    โก  หิ  นาโถ  ปโร  สิยา
อตฺตนา  หิ  สุทนฺเตน                         นาถํ  ลภติ  ทุลฺลภํ.
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน                      คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
ก็บุคคลใดมีตนที่ฝึกดีแล้ว  ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้โดยยาก.  
กล่าวคือ พรสวรรค์และพรแสวง หรือความสำเร็จใด ๆ ในทุกสาขาอาชีพ จะต้องเป็นเรื่องที่มีสาเหตุปัจจัย มีที่มาและปรากฏตามแนวทาง ดังนี้
 
-ต้องเป็นเรื่องของการเสาะแสวงหา ไม่ใช่เกิดขึ้นมาเอง
                -ต้องเป็นเรื่องของการต่อสู้ ไม่ใช่มานั่งดูดวง
                -ต้องเป็นเรื่องของการฟันฝ่า  ไม่ใช่ฟ้าบันดาล
                -ต้องเป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญ  ไม่ใช่โชคช่วย
                -ต้องเป็นเรื่องของการฝึกฝน  ไม่ใช่บุญหล่นทับ
                -ต้องเป็นเรื่องของความสามารถ  ไม่ใช่วาสนา และ
                -ต้องเป็นเรื่องของพรแสวง  ไม่ใช่พรสวรรค์
                เราจะต้องแสวงหา ฝึกฝน อดทน ฟันฝ่า จึงจะได้มาซึ่งทักษะสู่ความสำเร็จแห่งชีวิต ฉะนั้น สิ่งควรกระทำให้ได้ซึ่งความสำเร็จ ก็คือพรแสวงแห่งความมุมานะพยายามนั่นเอง.
อิทธิบาท ๔ คือ หลักธรรมที่เป็นคุณเครื่องสนับสนุนให้เกิดความสำเร็จเป็นพรสวรรค์และพรแสวงให้แก่ทุกชีวิต ทุกเพศ ทุกวัย และทุกประการโดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา ได้แก่
๑.      ฉันทะ   คือ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งที่เรียน ในกิจที่ทำ
๒.    วิริยะ    คือ ขยันหมั่นเพียรในสิ่งที่เรียน ในกิจที่ทำ
๓.     จิตตะ    คือ เอาใจจดจ่อ หมายถึงเอาใจใส่ในสิ่งที่เรียน ในกิจที่ทำ
๔.     วิมังสา  คือ หมั่นทบทวนจากสิ่งที่เรียน ในกิจที่ทำ

                แสงสว่างที่ส่องนำทาง คือดวงอาทิตย์ แสงสว่างส่องทางชีวิตคือการศึกษา  ปัจจุบันการทำมาหากินต้องแข่งขันกันมาก ช่องทางการทำเงินมีมากมาย แต่ถ้าขาดการศึกษา ก็เสมือนว่าขาดวิสัยทัศน์ และโอกาสงาม ๆ ที่จะประสบความสำเร็จใด ๆ ในชีวิตก็ค่อนข้างยาก แต่ถึงกระนั้น ความสำเร็จใด ๆ ก็ไม่มีลิขสิทธิ์ที่ใครคนใดคนหนึ่ง หรือเพียงอาชีพใดอาชีพหนึ่งเท่านั้น แต่อยู่การเติมเต็มด้วยพรแสวงของเราเอง ด้วยการ แสวงหา รักษาไว้ ใกล้กัลยาณมิตร ใช้ชีวิตแบบพอเพียง พยายามใกล้ชิดผู้ที่ประสบความสำเร็จ ขยัน ซื่อสัตย์ มีวิสัยทัศน์ วางแผน และตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนอยู่ตลอดเวลา ด้วยการปูพื้นฐานแห่งการศึกษาให้มั่นคง เพราะฐานของตึกคืออิฐ ฐานของชีวิต คือการศึกษา

                หญ้าจะสดงดงามเพราะนำหยาด                     คนฉลาดล้ำลึกเพราะการศึกษา
                หญ้าหยั่งรากหาน้ำฉ่ำชีวา                                 คนต้องหาความรู้เพื่อสู้งาน.

                                                                                                                                                จาก...www.raidai.com
 ๖.  สรุปเนื้อหา 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตนเอง คือ การค้นหาทักษะต่าง ๆ ของตนเอง เพราะทักษะใด ๆ หมายถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราทำเองได้หรือมีความถนัดถนี่ ซึ่งอาจหมายถึงสิ่งที่ตนเองมีตามธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด และเมื่อเรารู้จักตนเองว่ามีทักษะด้านไหน ก็จักอำนวยประโยชน์ในงานที่ทำอย่างได้ผลดี จึงมีความจำเป็นยิ่งของการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความสอดคล้องเหมาะสมกับหน้าที่การงานที่ได้รับผิดชอบมอบหมาย ดังคำสำนวนที่ถูกกล่าวไว้ว่า Put right man on the right job คือ การเลือกใช้คนให้เหมาะสมกับงาน”
เพราะทักษะหรือความชำนาญมีอยู่หลายอย่าง เช่น ทักษะที่เกี่ยวกับวัตถุ ทักษะการใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทักษะในการใช้ถ้วยคำหรือภาษา ทักษะในการใช้ตัวเลข  ทักษะการใช้ญาณพิเศษหรือลางสังหรณ์ใจที่เกิดขึ้น ทักษะการวิเคราะห์ใช้เหตุและผล ทักษะการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับบุคคลและการให้ความช่วยเหลือ ทักษะทางศิลปะ ทักษะความเป็นผู้นำ และทักษะการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เป็นต้น
ทักษะต่าง ๆ ที่กล่าวมา จะเป็นเชื่อมโยงกับพัฒนาการของมนุษย์ ตามหลักที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และเป็นสัตว์ประเสริฐที่ฉลาดที่สุดบนโลกใบนี้ เพราะมนุษย์ทุกคนมีพัฒนาการและมีความสามารถที่แตกต่างกันไป พร้อม ๆ กับมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามวัยและสภาพแวดล้อม นั่นคือมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามพัฒนาการ ซึ่งมาจากอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมพร้อมกับความเข้าใจและปรับตนได้
ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์ จึงเกิดขึ้นซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อการปรับตัวที่สัมพันธ์กับร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับทุกคน ตั้งแต่วัยทารก วัยเด็ก และจะเห็นผลอย่างรวดเร็วในช่วงของวัยรุ่น ทั้งนี้ มีปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติมโตและพัฒนาการของมนุษย์ เช่น เพศ ต่อมต่าง ๆ ภายในร่างกาย อาหารการบริโภค อากาศและสิ่งแวดล้อม สุขภาพพลานามัยและการมีโรคภัยภัยต่าง ๆ รวมถึงการเรียนรู้ที่จะฝึกหัดและฝึกฝน ล้วนมีองค์ประกอบที่มีผลต่อพัฒนาการของมนุษย์ เช่น  พันธุกรรม วุฒิภาวะ การเรียนรู้ ที่เกิดมาจากตัวแปร เช่น ความพร้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ความพร้อมที่เกิดจากการกระตุ้น และสิ่งแวดล้อม
เมื่อมนุษย์มีโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่แตกต่างจากสัตว์โลกอื่น ๆ ธรรมชาติของมนุษย์จึงเอื้อให้ต้องมีการศึกษา เพราะการศึกษาคือ ประตูไขไปสู่โลกกว้าง ในทุกสาขาอาชีพ เช่น การศึกษาในระบบและนอกระบบ เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ขอให้ดูตั้งแต่มนุษย์คลอดจากครรภ์มารดา เกิดมามีชีวิตอยู่ในโลก  ก็ต้องดำรงชีวิตให้อยู่รอด แต่การที่จะอยู่รอดด้วยดีนี้จะทำอย่างไร จะต้องปฏิบัติต่อชีวิตและสิ่งรอบตัว ที่ชีวิตเข้าไปเกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง ถ้าเราปฏิบัติต่อสิ่งนั้น ๆ ได้ถูกต้อง ชีวิตของเราก็อยู่รอดปลอดโปร่ง แต่ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกต้อง  ก็จะเกิดความติดขัด คับข้อง หรือบีบคั้น ตามหลักพระพุทธศาสนา เรียกว่า “ทุกข์” ซึ่งก็คือปัญหาต่อการที่จะอยู่รอด หรือการที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยดีนั่นเอง  ในเมื่อมนุษย์ เกิดขึ้นมาแล้วต้องอยู่ให้รอดต่อไป การศึกษาจึงเป็นแนวทางที่เอื้อให้เพื่อ
๑.  เป็นทางรับรู้ข้อมูล หรือเป็นทางรับความรู้ คือ รับรู้ประสบการณ์เข้ามาในลักษณะที่เป็นข้อมูล ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำให้เกิดปัญญา ที่จะรู้เข้าใจ
๒. เป็นทางรับรู้ความรู้สึก  กล่าวคือ จะมีความรู้สึกเกิดขึ้นด้วย คล้ายกับว่าสิ่งทั้งหลาย ก็จะเกิดความรู้สึกเกิดขึ้นด้วย คล้ายกับว่าสิ่งทั้งหลายเมื่อสัมพันธ์กับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราแล้ว มันมีคุณสมบัติที่ทำให้เรารู้สึกสบายหรือไม่สบาย หรือไม่ก็เฉย ๆ ทันทีความรู้สึกนี้ เรียกว่า เวทนา เมื่อเรารับรู้จึงไม่ใช่เพียงได้ข้อมูล หรือ ประสบการณ์เท่านั้น แต่จะมีความรู้สึกสบาย-ไม่สบาย เกิดขึ้นพร้อมกันด้วย เช่น เมื่อตารับรู้หรือเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ก็จะมีความรู้สึกสบายตา หรือไม่สบายตาเกิดขึ้นด้วย  เมื่อหูได้ยินเสียง ก็จะมีความรู้สึกสบายหูหรือไม่สบายหูเกิดขึ้นด้วย เป็นต้น ความรู้สึกสบายหรือเอร็ดอร่อยใด ๆ เรียกว่า สุขเวทนา ความรู้สึกใด ๆ ไม่อร่อย เรียกว่า ทุกขเวทนา
พรสวรรค์กับพรแสวง ก็เป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นความพิเศษ ความสามารถ หรือคุณสมบัติอันโดดเด่นของบุคคลที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือคล้าย ๆ กับว่าเป็นสัญชาตญาณที่ซ่อนตัวอยู่ลึก ๆ ในตัวบุคคลเหล่านั้น เช่น เกิดมาหน้าตาดี เสียงดี วาดรูปเก่ง แต่ถ้าไม่มีตรงกันข้ามต้องใช้ความวิริยะ อุตสาหะ มานะบากบั่น ขยันหมั่นเพียรในกิจหน้าที่นั้น ๆ จึงจะได้มาซึ่งความสำเร็จต่าง ๆ ก็จัดเป็นพรสวรรค์ที่ทุกคนฝึกฝนอบรมได้เช่นกัน จึงจะเป็นเส้นทางแห่งความสำเร็จ

คติ:  Motto: Matrimony is a great adventure. การแต่งงานคือการผจญภัยอย่างใหญ่หลวง

คำถามท้าย บทที่ ๑
คำชี้แจง: จงตอบคำถามที่กำหนดให้ ให้ได้ใจความและสมภูมิปัญญา
****************
๑.   ความรู้เบื้อต้นเกี่ยวกับตนเอง คืออะไร ทำไมต้องรู้จักตัวเอง อธิบาย
๒.  คำว่า “ชนะอยู่ที่นิ่ง จริงอยู่ที่ใจ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือชนะใจตนเอง” ท่านเห็นด้วยหรือไม่ เพราะ
       เหตุใด อธิบาย
๓.  การเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ มีความจำเป็นอย่างไร และเรียนอย่างไรจึงเรียกว่า ทักษะ จงอธิบาย
      พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
๔.  ทักษะ คืออะไร มีอะไรบ้าง และตัวท่านเองคิดว่ามีทักษะด้านใด จงให้เหตุผล
๕.  มนุษย์จัดเป็นโลกประเภทไหน มีพัฒนาการที่แตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ บนโลกนี้อย่างไร อธิบาย
๖.  ความสำคัญเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ คืออะไร มีปัจจัยใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการ
      เจริญเติบโตบ้าง อธิบาย
๗.  องค์ประกอบที่มีผลต่อการพัฒนาของมนุษย์ คือ อะไร มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
๘.  ธรรมชาติของมนุษย์ที่ทำให้ต้องมีการศึกษา คือ อะไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยบ้าง อธิบาย
๙.  พรสวรรค์กับพรแสวง คือ อะไร มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
๑๐. คนที่จะประสบความสำเร็จมีทักษะชีวิต ควรดำเนินชีวิตอย่างไร มีคุณธรรมใดอ้างอิงบ้าง จง
      อธิบาย


*******************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น